- การศึกษาวิจัยระยะที่ 3 ในโครงการ ADELA ที่ดำเนินการในหลายประเทศ ใช้การรักษาแบบผสมผสานระหว่างยา elacestrant กับ everolimus เพื่อรักษามะเร็งเต้านมชนิด ER+/HER2- ระยะลุกลามที่มีการกลายพันธุ์ของยีน ESR1 โดยมีเป้าหมายเพื่อชะลอการลุกลามของโรค
- Menarini Group และ MEDSIR นำเสนอผลการศึกษาดังกล่าว ในงานประชุมวิชาการ San Antonio Breast Cancer Symposium 2024 (SABCS 2024) ซึ่งเป็นงานประชุมด้านมะเร็งวิทยาที่ทรงเกียรติอันดับต้น ๆ ของโลก
- MEDSIR เข้าร่วมงาน SABCS 2024 ซึ่งเป็นการตอกย้ำสถานะความเป็นผู้นำระดับโลกในการวิจัยด้านมะเร็งวิทยา และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการคิดค้นนวัตกรรมและพัฒนาการรักษาที่มีประสิทธิภาพแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น
ฟลอเรนซ์ อิตาลี และบาร์เซโลนา สเปน, 12 ธันวาคม 2567 /PRNewswire/ — Menarini Group ("Menarini") บริษัทชั้นนำผู้พัฒนาเภสัชภัณฑ์และระบบวินิจฉัยโรค และ Stemline Therapeutics, Inc. ("Stemline") บริษัทย่อยที่ Menarini Group เป็นเจ้าของ ซึ่งมุ่งนำวิธีการรักษามะเร็งที่พลิกวงการมาสู่ผู้ป่วย ร่วมกับ MEDSIR บริษัทวิจัยทางคลินิกอิสระชั้นนำระดับโลกด้านมะเร็งวิทยา และเป็นส่วนหนึ่งของ Oncoclínicas & Co. กลุ่มผู้ให้การรักษาโรคมะเร็งเฉพาะทางรายใหญ่ที่สุดในลาตินอเมริกา ได้นำเสนอผลการวิจัยเกี่ยวกับโครงการทดลองทางคลินิกระดับบุกเบิกอย่าง ADELA งานวิจัยโครงการสำคัญนี้มุ่งแก้ปัญหาการดื้อยาในมะเร็งเต้านมชนิด ER+/HER2- ระยะลุกลาม โดยนำเสนอผลการศึกษาดังกล่าวในงานประชุม San Antonio Breast Cancer Symposium 2024 (SABCS) นับเป็นก้าวสำคัญในการสำรวจหาทางเลือกในการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเฉพาะบุคคลมากขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่มีการลุกลามของโรค
แนวทางมาตรฐานลำดับแรกในการรักษามะเร็งเต้านมชนิด ER+/HER2- ระยะลุกลามนั้น ใช้การรักษาแบบผสมผสานระหว่างฮอร์โมนบำบัดกับยายับยั้ง CDK4/6 โดยการกลายพันธุ์ของยีน ESR1 เกิดขึ้นจากการได้รับฮอร์โมนบำบัดมาก่อนในระหว่างการรักษาระยะแพร่กระจาย และพบว่ามะเร็งเต้านมชนิด ER+, HER2- ระยะลุกลามหรือระยะแพร่กระจายถึง 50% จะเกิดการกลายพันธุ์นี้ การกลายพันธุ์ของยีน ESR1 ทำให้ก้อนมะเร็งดื้อต่อฮอร์โมนบำบัด ส่งผลให้โรคลุกลามต่อไป ดังนั้นการตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีน ESR1 จึงมีความสำคัญทุกครั้งที่มะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย (mBC) มีการลุกลาม การได้รับฮอร์โมนบำบัดเป็นเวลานานในการรักษาแนวทางแรกยิ่งเพิ่มโอกาสที่เนื้องอกของผู้ป่วยจะเกิดการกลายพันธุ์ของยีน ESR1 ทั้งนี้ โครงการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ADELA มีเป้าหมายในการตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขนี้ โดยมุ่งศึกษาทางเลือกใหม่ในการรักษาที่นำยาทำลายตัวรับเอสโตรเจนแบบเลือกจับชนิดรับประทานที่พัฒนาขึ้นใหม่อย่าง elacestrant มาใช้ร่วมกับยา everolimus ซึ่งเป็นยายับยั้ง mTORC1
การรักษาแบบผสมผสานนี้กำลังได้รับการประเมินในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด ER+/HER2- ระยะลุกลามที่มีการกลายพันธุ์ของยีน ESR1 และมีการลุกลามของโรคหลังจากได้รับการรักษามาตรฐานลำดับแรก ผลการศึกษาจากการทดลองระยะที่ 3 ในโครงการ EMERALD นั้นเป็นพื้นฐานที่นำไปใช้ประกอบการขออนุมัติยา elacestrant ในขณะเดียวกัน ยา everolimus ได้แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการยับยั้งกลไกการดื้อยาแบบอื่น ๆ ในมะเร็งชนิดนี้ การรักษาแบบผสมผสานระหว่าง elacestrant และ everolimus ได้แสดงให้เห็นประสิทธิภาพเบื้องต้นพร้อมด้วยความปลอดภัยในระดับที่จัดการได้ในการศึกษา ELEVATE ระยะที่ 1b/2 (NCT05563220)
"พวกเราที่ Menarini Stemline รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในการประกาศความร่วมมือกับ MEDSIR เพื่อพัฒนาการวิจัยทางคลินิกในการศึกษาแนวทางรักษาแบบผสมผสานด้วยยา elacestrant อย่างต่อเนื่อง" นพ. Nassir Habboubi ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์ของ Stemline Therapeutics กล่าว "เรามุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการรักษามะเร็ง ด้วยการนำเสนอแนวทางรักษาที่จะเข้ามาพลิกวงการ โดยมีเป้าหมายเพื่อยืดอายุของผู้ป่วยมะเร็งให้ยาวนานขึ้น"
โครงการทดลองระดับนานาชาติแบบสุ่มและปกปิดสองทางนี้ มีวัตถุประสงค์หลักในการประเมินว่า การรักษาแบบผสมผสานระหว่างยา elacestrant กับ everolimus จะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าในการชะลอการลุกลามของโรคเมื่อเทียบกับการใช้ยา elacestrant เพียงชนิดเดียวหรือไม่ นอกจากนี้ ยังศึกษาด้านสำคัญอื่น ๆ เช่น การรอดชีวิตโดยรวม ความเป็นพิษ และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
โครงการ ADELA ถือเป็นก้าวสำคัญในการทำความเข้าใจวิธีเอาชนะปัญหาท้าทายเรื่องการดื้อยาของเนื้องอกในผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของยีน ESR1 โดยมีเป้าหมายเพื่อคิดค้นแนวทางรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
ดร. Antonio Llombart-Cussac ผู้นำด้านวิทยาศาสตร์อาวุโสของ MEDSIR กล่าวว่า "MEDSIR เข้าใจว่านวัตกรรมไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การบรรลุผลทางคลินิกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้ป่วยในระดับโลก โครงการ ADELA เปิดโอกาสให้เราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแน่วแน่ เพื่อให้ได้มาซึ่งแนวทางรักษาที่บุกรุกร่างกายน้อยลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมุ่งหวังที่จะมอบความหวังใหม่ให้กับผู้ที่กำลังเผชิญกับโรคในรูปแบบที่ซับซ้อนที่สุด ความก้าวหน้านี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาการแพทย์ที่เน้นการรักษาเฉพาะบุคคลและยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางมากขึ้น ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญในการกำหนดอนาคตของวงการมะเร็งวิทยา"
การศึกษาวิจัยระยะที่ 3 นี้ไม่เพียงแต่มีเป้าหมายทางคลินิกที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพในการเปิดทางสู่การอนุมัติการรักษาแบบผสมผสานนี้จากหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งจะช่วยให้นำไปใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลามในวงกว้างได้มากขึ้น นอกจากนี้ ขอบเขตระดับนานาชาติของการศึกษาที่มีการเข้าร่วมจากหลายประเทศ รวมถึงสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส ออสเตรีย สาธารณรัฐเช็ก กรีซ เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการศึกษานี้ในแวดวงวิทยาศาสตร์ในระดับโลก
การนำเสนอผลการศึกษาจากโครงการ ADELA ในงานที่มีชื่อเสียงอย่าง SABCS 2024 นั้นตอกย้ำความเป็นผู้นำของ MEDSIR ในการวิจัยด้านมะเร็งวิทยาที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศ และแสดงให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายในการตอบสนองความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองในการรักษามะเร็งเต้านม ทั้งนี้ โครงการ ADELA กำลังดำเนินการอยู่ และได้เปิดรับผู้ป่วยเข้าร่วมการศึกษาแล้ว
เกี่ยวกับ ORSERDU (elacestrant)
ข้อบ่งใช้ในสหรัฐ: ORSERDU (elacestrant) เป็นยาเม็ดขนาด 345 มก. เพื่อใช้รักษาผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือนหรือผู้ชายวัยผู้ใหญ่ที่เป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามหรือระยะแพร่กระจายชนิดตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นบวกและตัวรับโกรทแฟคเตอร์ที่ผิวหนังชั้นนอกของมนุษย์ 2 เป็นลบ (ER+/HER2-) ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน ESR1 ซึ่งมีการลุกลามของโรคหลังจากได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดอย่างน้อยหนึ่งรายการ
ดูข้อมูลกำกับยาฉบับสมบูรณ์ในสหรัฐได้ที่ www.orserdu.com
ข้อมูลด้านความปลอดภัยที่สำคัญ คำเตือนและข้อควรระวัง
โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia): ภาวะไขมันในเลือดสูง (hypercholesterolemia) และภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (hypertriglyceridemia) เกิดในผู้ป่วยที่ได้รับยา ORSERDU ในอัตราอุบัติการณ์ 30% และ 27% ตามลำดับ อุบัติการณ์การเกิดภาวะไขมันในเลือดสูงและภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงระดับ 3 และ 4 อยู่ที่ 0.9% และ 2.2% ตามลำดับ ติดตามผลตรวจไขมันในเลือดก่อนที่จะเริ่มใช้และติดตามผลเป็นระยะระหว่างการใช้ยา ORSERDU
ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Embryo-Fetal Toxicity): จากข้อค้นพบในสัตว์และกลไกการออกฤทธิ์ของยา ยา ORSERDU สามารถก่ออันตรายต่อตัวอ่อนเมื่อใช้ในสตรีมีครรภ์ ให้คำแนะนำแก่สตรีมีครรภ์และสตรีที่มีโอกาสตั้งครรภ์เกี่ยวกับแนวโน้มความเสี่ยงต่อตัวอ่อน ให้คำแนะนำแก่สตรีที่มีโอกาสตั้งครรภ์เกี่ยวกับการใช้การคุมกำเนิดที่มีประสิทธิผลระหว่างการรักษาด้วยยา ORSERDU และเป็นเวลา 1 สัปดาห์หลังจากรับยาโดสสุดท้าย ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเพศชายที่มีคู่เป็นสตรีที่มีโอกาสตั้งครรภ์เกี่ยวกับการใช้การคุมกำเนิดที่มีประสิทธิผลระหว่างการรักษาด้วยยา ORSERDU และเป็นเวลา 1 สัปดาห์หลังจากรับยาโดสสุดท้าย
ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์
ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง เกิดขึ้นใน 12% ของผู้ป่วยที่ได้รับยา ORSERDU ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงใน >1% ของผู้ป่วยที่ได้รับยา ORSERDU ประกอบด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก (1.7%) และอาการคลื่นไส้ (1.3%) ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ที่เป็นอันตรายได้ถึงชีวิตเกิดขึ้นใน 1.7% ของผู้ป่วยที่ได้รับยา ORSERDU ประกอบด้วย ภาวะหัวใจหยุดเต้น ภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อ โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ และไม่ทราบสาเหตุ (ประเภทละหนึ่งราย)
ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ที่พบมากที่สุด (≥10%) ซึ่งรวมถึงความผิดปกติในห้องปฏิบัติการ ของยา ORSERDU ประกอบด้วย อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก (41%), อาการคลื่นไส้ (35%), คอเรสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้น (30%), ค่าเอนไซม์ AST เพิ่มสูงขึ้น (29%), ไตรกลีเซอร์ไรด์เพิ่มสูงขึ้น (27%), อาการอ่อนเพลีย (26%), ฮีโมโกลบินลดลง (26%), อาการอาเจียน (19%), ค่าเอนไซม์ ALT เพิ่มสูงขึ้น (17%), โซเดียมลดลง (16%), ครีอะตินีนเพิ่มสูงขึ้น (16%), ความอยากอาหารลดลง (15%), อาการท้องเสีย (13%), อาการปวดศีรษะ (12%), อาการท้องผูก (12%), อาการปวดท้อง (11%), อาการร้อนวูบวาบ (11%) และอาการอาหารไม่ย่อย (10%)
ปฏิกิริยาต่อกันของยา
การใช้ร่วมกับยากระตุ้นและ/หรือยายับยั้ง CYP3A4: หลีกเลี่ยงการใช้ยายับยั้ง CYP3A4 ระดับรุนแรงหรือปานกลางร่วมกับยา ORSERDU หลีกเลี่ยงการใช้ยากระตุ้น CYP3A4 ระดับรุนแรงหรือปานกลางร่วมกับยา ORSERDU
การใช้ในกลุ่มประชากรจำเพาะ
ผู้ให้นมบุตร: ให้คำแนะนำแก่สตรีผู้ให้นมบุตรมิให้ให้นมบุตรระหว่างการรักษาด้วยยา ORSERDU และเป็นเวลา 1 สัปดาห์หลังจากรับยาโดสสุดท้าย
ภาวะตับเสื่อม: หลีกเลี่ยงการใช้ยา ORSERDU ในผู้ป่วยที่มีภาวะตับเสื่อมระดับรุนแรง (คะแนนไชด์-พิว (Child-Pugh) ระดับซี) ลดขนาดปริมาณยา ORSERDU ในผู้ป่วยที่มีภาวะตับเสื่อมระดับปานกลาง (คะแนนไชด์-พิว ระดับบี)
ขณะนี้ยังไม่มีการระบุความปลอดภัยและประสิทธิผลของยา ORSERDU ในผู้ป่วยเด็ก
ติดต่อ Stemline Therapeutics, Inc. เพื่อรายงานอาการที่สงสัยว่าเป็นปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ ที่หมายเลข 1-877-332-7961 หรือ FDA ที่หมายเลข 1-800-FDA-1088 หรือ www.fda.gov/medwatch
เกี่ยวกับ Menarini Group
Menarini Group คือบริษัทยาและการวินิจฉัยชั้นนำระดับโลกซึ่งมียอดขาย 4.7 พันล้านดอลลาร์ และมีพนักงานกว่า 17,000 คน Menarini มุ่งเน้นด้านการรักษาโรคที่จำเป็นแต่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ด้วยชุดผลิตภัณฑ์สำหรับการรักษาโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคปอด โรคระบบทางเดินอาหาร โรคติดเชื้อ โรคเบาหวาน การอักเสบ และยาแก้ปวด ด้วยฐานการผลิต 18 แห่งพร้อมศูนย์วิจัยและพัฒนาอีก 9 แห่ง ผลิตภัณฑ์ของ Menarini จึงมีวางจำหน่ายใน 140 ประเทศทั่วโลก รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.menarini.com
เกี่ยวกับ Stemline Therapeutics Inc.
Stemline Therapeutics, Inc. ("Stemline") บริษัทย่อยที่ Menarini Group เป็นเจ้าของ เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ระยะพาณิชย์ ซึ่งมุ่งพัฒนาและจัดจำหน่ายแนวทางรักษามะเร็งแบบใหม่ ๆ Stemline เป็นผู้จัดจำหน่าย ORSERDU® (elacestrant) ในสหรัฐและยุโรป ซึ่งเป็นฮอร์โมนบำบัดชนิดรับประทาน เพื่อรักษาผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือนหรือผู้ชายวัยผู้ใหญ่ที่เป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามหรือระยะแพร่กระจายชนิดตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นบวกและตัวรับตัวรับโกรทแฟคเตอร์ที่ผิวหนังชั้นนอกของมนุษย์ 2 เป็นลบ (ER+, HER2-) ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน ESR1 ซึ่งมีการลุกลามของโรคหลังจากได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดอย่างน้อยหนึ่งรายการ Stemline ยังวางจำหน่าย ELZONRIS® (tagraxofusp-erzs) เทคนิครักษาแบบใหม่ที่พุ่งเป้าไปที่ CD123 เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งทางโลหิตวิทยาที่รุนแรงอย่างมะเร็งเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด blastic plasmacytoid dendritic cell neoplasm (BPDCN) ในสหรัฐฯ และยุโรป โดยเป็นเทคนิครักษาหนึ่งเดียวที่ได้รับการอนุมัติเพื่อใช้รักษา BPDCN ทั้งในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป นอกจากนี้ Stemline ยังวางจำหน่าย NEXPOVIO® (selinexor) ในยุโรป ซึ่งเป็นยายับยั้ง XPO1 เพื่อรักษาโรคมัลติเพิลมัยอิโลมา ทั้งนี้ Stemline มีผลิตภัณฑ์เชิงคลินิกประเภทโมเลกุลขนาดเล็กและยาชีววัตถุที่อยู่ระหว่างการพัฒนามากมายหลายระดับ เพื่อใช้รักษามะเร็งที่เป็นก้อนและมะเร็งทางระบบเม็ดเลือด
เกี่ยวกับ MEDSIR
MEDSIR ก่อตั้งขึ้นในปี 2555 โดยมีความภาคภูมิใจในการทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการวิจัยด้านมะเร็งวิทยา บริษัทฯ ดำเนินงานในสเปนและสหรัฐอเมริกา ให้บริการจัดการการทดลองทางคลินิกแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบการศึกษาไปจนถึงการตีพิมพ์ผลงาน โดยมีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญระดับโลกและเทคโนโลยีแบบบูรณาการที่ช่วยให้กระบวนการทำงานราบรื่น บริษัทฯ ให้การสนับสนุนด้านการพิสูจน์แนวคิดและแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้พันธมิตรด้านการวิจัยได้รับประโยชน์สูงสุดจากทั้งสองด้าน นั่นคือการวิจัยทางคลินิกในภาคอุตสาหกรรมและการทดลองที่ริเริ่มโดยผู้วิจัย
MEDSIR มีเป้าหมายในการส่งเสริมการวิจัยอิสระในระดับโลก โดยได้จับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มผู้นำด้านมะเร็งวิทยาในบราซิลอย่าง Oncoclínicas ซึ่งมีศักยภาพในการวิจัยที่โดดเด่นในอเมริกาใต้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมทาง www.medsir.org
เกี่ยวกับ Oncoclínicas & CO
Oncoclínicas&Co เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดที่ทุ่มเทให้กับการรักษามะเร็งในลาตินอเมริกา โดยมีความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมที่มุ่งเน้นการดูแลด้านมะเร็งตลอดทั้งกระบวนการ ซึ่งผสมผสานประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การดูแลที่คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ และความเชี่ยวชาญระดับสูงเข้าด้วยกัน ผ่านทีมแพทย์ที่ประกอบไปด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า 2,700 คนที่เน้นด้านมะเร็งวิทยาเป็นพิเศษ บริษัทฯ มีพันธกิจในการทำให้การรักษามะเร็งเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง จึงนำเสนอระบบแบบครบวงจรที่รวมคลินิกผู้ป่วยนอกเข้ากับศูนย์มะเร็งที่มีความซับซ้อนสูง บริษัทฯ บริหารงาน 145 หน่วยใน 39 เมืองทั่วบราซิล ทำให้สามารถเข้าถึงการรักษาคุณภาพสูงได้ในทุกภูมิภาคที่ให้บริการตามมาตรฐานระดับโลก
Oncoclínicas มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี การแพทย์แม่นยำ และพันธุศาสตร์ โดยให้การรักษาประมาณ 635,000 ครั้งในปี 2566 บริษัทฯ เป็นพันธมิตรเพียงรายเดียวในบราซิลของสถาบันมะเร็ง Dana Farber Cancer Institute ในเครือหนึ่งในศูนย์วิจัยและรักษามะเร็งชั้นนำของโลกอย่างคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นเจ้าของ Boston Lighthouse Innovation บริษัทชีวสารสนเทศที่ตั้งอยู่ในเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา และถือหุ้นใน Medsir บริษัทที่ทุ่มเทให้กับการพัฒนาและจัดการการทดลองทางคลินิกสำหรับการวิจัยมะเร็งอิสระ ซึ่งตั้งอยู่ในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
เมื่อไม่นานมานี้ Oncoclínicas ได้ขยายการดำเนินงานไปยังซาอุดีอาระเบีย ผ่านการร่วมทุนกับกลุ่ม Al Faisaliah Group เพื่อนำพันธกิจในการเอาชนะมะเร็งไปสู่ทวีปใหม่ และให้การดูแลด้านมะเร็งในระดับโลก ด้วยการผสมผสานความเชี่ยวชาญพิเศษด้านมะเร็งกับแนวทางการรักษาที่มีความก้าวล้ำ
บริษัทฯ เป็นส่วนหนึ่งของดัชนี IDIVERSA ที่เปิดตัวโดย B3 ซึ่งแสดงให้เห็นบริษัทที่มุ่งมั่นในด้านความหลากหลายทางเพศและเชื้อชาติ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.grupooncoclinicas.com
โลโก้ – https://mma.prnasia.com/media2/2579695/MENARINI_GROUP_Logo.jpg?p=medium600
The information provided in this article was created by Cision PR Newswire, our news partner. The author's opinions and the content shared on this page are their own and may not necessarily represent the perspectives of Siam News Network.